
วัคซีนโควิด-19
คำถามที่พบบ่อย
ปรับปรุงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
มันเป็นไวรัสที่แพร่พันธุ์โดยการทำสำเนาตัวเอง โดยแต่ละสำเนาจะแตกต่างไปจากสำเนาเดิม และเราเรียกว่าการกลายพันธุ์ดังกล่าวว่า “สายพันธุ์เดลต้า” (delta variant) ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโควิด-19 โดยสายพันธุ์นี้จะติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ และอาจทำให้เจ็บป่วยขั้นรุนแรงได้
สำหรับคนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน จะมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น
อาจจะเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า วัคซีนโควิด-19 จะป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่บางสายพันธุ์ได้ แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า วัคซีนจะมีประสิทธิภาพน้อยลงกว่าเดิม ในการต่อต้านไวรัสสายพันธุ์ใหม่บางสายพันธุ์ แต่แน่นอนว่าวัคซีนบางชนิดอาจใช้ได้ผลเป็นเวลานาน เช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันโรคหัด แต่วัคซีนบางชนิดก็อาจมีผลในเวลาสั้นๆ และจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่นเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ที่จะทราบได้อย่างแน่ชัดในเรื่องนี้
แต่อย่างไรก็ตาม การที่คุณได้รับวัคซีนในปัจจุบันนี้ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ยังคงดำเนินอยู่ และยิ่งมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนมากเท่าใด เราก็จะสามารถควบคุมโรคระบาดได้เร็วขึ้นเท่านั้น
วัคซีนจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณป่วยจากโควิด-19 ได้ อีกทั้งยังช่วยให้เราสามารถยุติการแพร่ระบาดได้เร็วขึ้นด้วย
โควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงมาก มันได้คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วกว่า 350,000 รายในปี 2563 และเมื่อเปรียบเทียบกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในปี 2562 ปรากฏว่าไข้หวัดใหญ่ได้คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปเพียง 34,000 รายเท่านั้น ดังนั้นหากคุณได้รับวัคซีนป้องกันโควิด ก็จะสามารถช่วยให้ทั้งตัวคุณเองและผู้อื่นปลอดภัยจากโควิด-19 มากยิ่งขึ้น
วัคซีนนั้นทำงานโดยช่วยให้ร่างกายของคุณสามารถจดจำไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ได้ ดังนั้นเมื่อร่างกายของคุณรู้ว่า ไวรัสมีลักษณะอย่างไร ระบบป้องกันร่างกายของคุณจะสามารถต่อสู้กับไวรัสได้
โดยทั่วไปแล้ว ร่างกายของคุณจะสร้างแอนติบอดีตามธรรมชาติ ซึ่งมันจะคอยต่อสู้กับไวรัสอันตรายที่เข้าสู่ร่างกายของคุณ อย่างไรก็ตาม แอนติบอดีดังกล่าวจำเป็นต้องรู้ว่า มันจะต้องต่อสู้กับไวรัสชนิดใด ดังนั้นเมื่อมีไวรัสตัวใหม่ๆ เข้าสู่ร่างกายของคุณ โดยที่แอนติบอดียังไม่รู้จักมัน ไวรัสดังกล่าวก็จะสามารถโจมตีร่างกายของคุณ ก่อนที่คุณจะต่อสู้กับมันได้ ซึ่งสิ่งที่วัคซีนจะทำก็คือ ฝึกร่างกายของคุณให้รู้จักไวรัสที่เป็นอันตราย แล้วสร้างแอนติบอดีที่เหมาะสมขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับมัน โดยไวรัสในวัคซีนนั้นจะเป็นไวรัสที่ตายแล้ว ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องกังวลว่าจะติดเชื้อโควิด-19 จากการรับวัคซีนแต่อย่างใด
เราขอแนะนำให้ทุกคนไปรับวัคซีน โดยผู้ใดก็ตามในสหรัฐที่อายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป สามารถเข้ารับวัคซีนได้ โดยการตรวจสอบกับหน่วยงานสาธารณสุขในท้องที่ หรือติดตามความคืบหน้าของข่าวสารล่าสุดได้ที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention – CDC)
อย่างไรก็ตาม หากคุณกำลังตั้งครรภ์อยู่ คุณควรปรึกษาแพทย์เสียก่อน และไม่ควรรับวัคซีน หากคุณเคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนผสมใดๆ ที่มีอยู่ในวัคซีน โดยกรุณาปรึกษาแพทย์ของคุณ หากคุณมีประวัติอาการแพ้ หรือมีข้อสงสัยใด ๆ
แน่นอนว่ามันปลอดภัย เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา หรือเอฟดีเอ (FDA) จะอนุมัติวัคซีนก็ต่อเมื่อพบว่า มันมีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพเท่านั้น และเพื่อให้วัคซีนได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ นักวิทยาศาสตร์ต้องทดสอบวัคซีนใหม่กับคนจำนวนมาก เพื่อให้แน่ใจว่ามันมีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากพอ
ชาวอเมริกันกว่า 40,000 ราย ได้รับการทดสอบด้วยวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) อีกกว่า 30,000 ราย ได้รับการทดสอบด้วยวัคซีนจากบริษัทโมเดอร์น่า (Moderna) และอีกกว่า 39,000 ราย ได้รับการทดสอบกับวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน แจนส์เซ่น ซึ่งการทดสอบดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นว่า วัคซีนเหล่านี้ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพเพียงพอ ด้วยเหตุนี้ ทางเอฟดีเอจึงอนุมัติวัคซีนที่ผลิตโดยไฟเซอร์ โมเดอร์น่า และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โดยเริ่มใช้ในกรณีฉุกเฉินก่อน และกำลังมีการพิจารณาวัคซีนอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อการอนุมัติ และอาจมีการนำมาใช้ในอนาคตต่อไป
วัคซีนใหม่แต่ละชนิดได้รับการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพ นี่เป็นเรื่องจริงสำหรับโครงการ Operation Warp Speed ซึ่งเป็นการเร่งการทดสอบวัคซีน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการทดสอบจะเร็วขึ้น แต่วัคซีนก็ดำเนินการผ่านขั้นตอนปกติทั้งหมด เพื่อรับรองความปลอดภัยของมัน
การทดสอบวัคซีนต้องดำเนินการผ่านสามขั้นตอนหลัก (ระยะที่ 1, ระยะที่ 2, และระยะที่ 3 ซึ่งเป็นการทดสอบทางคลินิก) สำหรับในระยะที่ 1 แพทย์จะให้วัคซีนแก่อาสาสมัคร การวิจัยขั้นนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณวัคซีนที่ต้องให้ และแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน โดยในระยะที่ 1 นี้ จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่จะได้รับวัคซีน เนื่องจากมันยังเป็นวัคซีนที่ใหม่มาก และหากผลปรากฏว่ามันมีความปลอดภัยมากพอ ก็จะมีการทดสอบในระยะที่ 2 ต่อไป
ในระยะที่ 2 วัคซีนจะได้รับการทดสอบ เพื่อดูว่ามันทำงานได้ดีเพียงใด และเพื่อค้นหาผลข้างเคียงต่างๆ ซึ่งหากผลปรากฎว่ามีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากพอ ก็จะเข้าสู่การทดสอบระยะที่ 3
ในระยะที่ 3 จะมีการให้วัคซีนกับอาสาสมัครกว่า 30,000 ราย เพื่อหาข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน ในกลุ่มประชากรที่หลากหลายมากขึ้น
โดยปกติแล้ว การทดสอบทั้งสามระยะจะใช้เวลาหลายปี เนื่องจากต้องใช้เวลาในการจัดหาเงินทุนเพื่อทดสอบวัคซีน ยื่นเอกสาร และรับสมัครอาสาสมัคร อย่างไรก็ตาม โครงการ Warp Speed ได้ช่วยให้การวิจัยดำเนินไปได้เร็วขึ้น โดยการให้เงินทุน และเร่งกระบวนการด้านเอกสารให้เร็วขึ้น ดังนั้นวัคซีนจึงได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว เมื่อผลปรากฎว่ามีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากพอ
ในแต่ละรัฐ แต่ละเขต และแต่ละเมือง จะมีขั้นตอนการให้วัคซีนของตัวเอง ซึ่งคุณสามารถสอบถามแพทย์ นายจ้าง หรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้ ในขณะเดียวกัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ก็มีเว็บไซต์ที่สามารถช่วยคุณค้นหา ฝ่ายสาธารณสุขในพื้นที่ของคุณได้ด้วยเช่นกัน
https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/index.html
แหล่งข้อมูลที่ถูกต้องที่ดีที่สุดก็คือแพทย์ของคุณ หรือเว็บไซต์ของหน่วยงานด้านสุขภาพของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เช่น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) หรือหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐ/เขตในท้องที่ เป็นต้น
จะไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน วัคซีนที่ได้รับการรับรองจากเอฟดีเอแล้ว จะไม่ทำให้คุณติดโคโรนาไวรัส (หรือที่เรียกว่า SARS-CoV2) ที่เป็นสาเหตุของโควิด-19 อย่างแน่นอน เนื่องจากวัคซีนจะไม่มีไวรัสที่มีชีวิตแล้วนั่นเอง
ไม่อย่างเด็ดขาด ความเชื่อในเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
สำหรับวัคซีนที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้แล้ว อาจสามารถสร้างผลข้างเคียงบางอย่างในบางคนได้เหมือนกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่:
- อาการปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน หรือบริเวณข้อต่อต่างๆ
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- มีไข้เล็กน้อย
- ปวดศรีษะ
- มีอาการหนาวสั่น
- คลื่นไส้
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
ผลข้างเคียงมักไม่รุนแรงนัก แต่มักจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนขึ้น หลังจากการฉีดวัคซีนครั้งที่สอง โดยอาการส่วนใหญ่จะหายไปได้เอง หลังจากผ่านไป 1-2 วัน โดยคุณยังไม่ควรเดินทางไปไหนไกล ๆ ในช่วง 2-3 วันแรก และควรรีบพบแพทย์หากอาการแย่ลง
อย่างไรก็ตาม มีโอกาสอยู่บ้างเหมือนกัน ที่คุณอาจแพ้วัคซีน ดังนั้นหากคุณมีประวัติการแพ้ต่างๆ คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน
ใช่ แพทย์แนะนำให้คุณยังควรรับวัคซีน ถึงแม้ว่าคุณจะติดโควิด-19 ไปแล้วก็ตาม เนื่องจากมีรายงานบางฉบับระบุว่า บางคนที่ป่วยจากโควิด-19 ไปแล้ว ก็ยังกลับมาป่วยด้วยโรคนี้อีกครั้งได้
อาจยังจำเป็นต้องรับวัคซีนอยู่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันดูเหมือนว่า วัคซีนจะปลอดภัยมากพอสำหรับสตรีมีครรภ์ แต่เราก็ยังไม่ทราบผลที่แน่ชัด และยังไม่มีงานวิจัยเพียงพอในประเด็นนี้ ซึ่งเราคงต้องทำงานในเรื่องนี้กันต่อไป
ดังนั้นโปรดปรึกษาแพทย์ของคุณ โดยทั้งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) และสมาคมสูตินรีแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (American College of Obstetricians and Gynecologists) ต่างระบุตรงกันว่า เป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ซึ่งคุณสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/recommendations/pregnancy.html
https://www.acog.org/covid-19/covid-19-vaccines-and-pregnancy-conversation-guide-for-clinicians
วัคซีนที่พัฒนาโดยโมเดอร์น่าและไฟเซอร์ มีประสิทธิภาพป้องกันไม่ให้คนป่วยด้วยโควิด-19 ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายความว่า โอกาสที่คุณจะป่วยจากโควิด-19 ลดลงไปประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการที่คุณไม่เคยได้รับวัคซีนเลย สำหรับวัคซีนจากจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันประมาณ 66 เปอร์เซ็นต์ แต่นั่นก็ยังถือว่าดีมากแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมักจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันเพียง 40-60 เปอร์เซ็นเท่านั้น
ด้วยระดับประสิทธิภาพดังกล่าว แม้ว่าคุณจะรับวัคซีนแล้วก็ตาม คุณก็ยังมีโอกาสติดเชื้อโควิดได้อยู่บ้างเล็กน้อยเหมือนกัน แต่อย่างไรเสีย คุณก็ยังควรจะรับวัคซีนอยู่ดี เพราะมันจะทำให้คุณมีโอกาสน้อยมาก ที่จะต้องป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล หรือกระทั่งเสียชีวิตจากโควิด-19
เมื่อคุณรับวัคซีนแล้ว คุณยังควรสวมหน้ากาก อีกทั้งควรล้างมือบ่อยๆ และรักษาระยะห่างทางสังคมเอาไว้ ตามคำแนะนำล่าสุดของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC)
ในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาความปลอดภัย และประสิทธิภาพของวัคซีนสำหรับเด็กอยู่ ขอให้คุณคอยติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างสม่ำเสมอที่หน่วยงานสาธารณสุขในท้องที่ของคุณ หรือข่าวสารล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ต่อไป
ในขณะนี้มีวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา 3 ตัวด้วยกัน ซึ่งเป็นวัคซีนที่ผลิตโดยไบโอแอนด์เทค โมเดอร์น่า และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน/แจนส์เซ่น
ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่คุณฉีดวัคซีนครบทุกเข็มแล้ว คุณจะต้องรอเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะถือว่าคุณเป็น “ผู้รับวัคซีนครบแล้ว” (fully vaccinated) ซึ่งสำหรับวัคซีนของโมเดอร์น่าและไฟเซอร์ คุณจะเป็นผู้รับวัคซีนครบแล้ว 2 สัปดาห์ หลังจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 และสำหรับวัคซีนจากจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน คุณจะเป็นผู้รับวัคซีนครบแล้วภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากการฉีดเข็มแรกเท่านั้น (วัคซีนตัวนี้ฉีดเพียงเข็มเดียว)
เมื่อคุณเป็นผู้รับวัคซีนครบแล้ว คุณสามารถทำสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ได้:
- อยู่ภายในบ้านหรือตัวอาคารเดียวกับคนอื่นๆ ที่รับวัคซีนครบแล้ว แต่ไม่ควรเกิน 2-3 คน โดยสามารถอยู่ใกล้กันน้อยกว่า 6 ฟุตได้ และไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย
- อยู่ในบ้านหรือตัวอาคารเดียวกับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนจากครัวเรือนอื่น โดยคุณสามารถอยู่ใกล้กว่า 6 ฟุต และไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยก็ได้ โดยข้อยกเว้นก็คือ หากคนเหล่านั้นมีปัญหาสุขภาพบางอย่าง ที่ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะป่วยด้วยโควิด-19 ในกรณีเช่นนี้ คุณควรสวมหน้ากากอนามัย และคงการรักษาระยะห่างทางสังคมเอาไว้ก่อน เพื่อให้ปลอดภัยมากขึ้น แม้ว่าคุณจะได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้วก็ตาม
- ใช้ชีวิตนอกบ้านหรือตัวอาคาร โดยไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย นอกเสียจากจะเป็นที่ชุมชนแออัดมากๆ และถ้าหากต้องเข้าไปอยู่ในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านจอแจ ควรสวมหน้ากากอนามัย และอยู่ห่างจากคนอื่นๆ 6 ฟุตขึ้นไป
แม้ว่าคุณจะได้รับวัคซีนครบแล้วก็ตาม คุณก็ยังควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ท่ามกลางผู้คนหมู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายในตัวอาคาร หรือพื้นที่ที่ไม่เปิดโล่งมากพอ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเข้าไปที่:
https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/fully-vaccinated.html
โควิด-19 อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพระยะยาวได้ แม้ว่าคุณจะหายจากโรคแล้วก็ตาม ซึ่งปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้แก่:
- ความรู้สึกอ่อนล้า
- หายใจถี่ หรือหายใจลำบาก
- อาการไอ
- ปวดข้อ
- เจ็บหน้าอก
- ปัญหาความจำ การจดจ่อสมาธิ หรือการนอนหลับ
- ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดศีรษะ
- หัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นแรง
- สูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นหรือรสชาติ
- มีอาการซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
- มีไข้
- วิงเวียนศีรษะเมื่อขณะยืน
แม้ว่าอาการในระยะยาวอาจจะไม่ได้พบบ่อยก็ตาม แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงได้ อีกทั้งยังอาจส่งผลต่อผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง หรือผู้ที่ไม่มีอาการใดๆ จากโควิด-19 เลยก็ได้ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ จึงเป็นเหตุผลสำคัญอีกส่วนหนึ่งในการเข้ารับวัคซีน
การทดลองทางคลินิกของโควิด-19 ได้ครอบคลุมไปถึงผู้คนทุกเชื้อชาติและชาติพันธุ์ ซึ่งผลปรากฏว่า วัคซีนมีความปลอดภัยมากพอ และใช้ได้ผลกับกลุ่มบุคคลตามภูมิหลังทุกประเภท
คุณสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ของ CDC ได้ที่นี่:
https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/8-things.html
https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/facts.html